Create iPhone App And Promote It Yourself
Magento Module Development to boost up functions of web stores
แท็บเล็ตที่ดีที่สุด 10 อันดับ
แท็บเล็ตที่ดีที่สุด (Tablets PC)
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (Tablet Computer)
ไอแพด จากค่ายแอพเปิ้ล (Apple iPAD) อาจจะเป็น แท็บเล็ตที่ดีที่สุด สำหรับหลายๆ คนแต่แน่นอนว่าไม่ได้ดีที่สุดสำหรับอีกหลายๆ คนเช่นกัน แท็บเล็ตรุ่นใหม่จาก ซัมซุง โซนี่ หรือโตชิบา ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยและอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับคุณก็ได้
นับว่าเป็นเวลาที่นานพอดูที่เราไม่ได้มีตัวเลือกมากมายนักในตลาดของแท็บเล็ดพีซี แอบเปิ้ลไอแพดจึงดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานั้น แต่ตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่า ไอแพด 2 (iPAD 2) จะยังเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ตัวเลือกยี่ห้ออื่นที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ (Android) ของ Google ได้ก็น่าสนใจไม่น้อย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไรจากแท็บเล็ต ยิ่งตอนนี้คู่แข่งของไอแพดที่ทำงานบน แอนดรอยด์ได้ดีก็มีมากขึ้นและมีคุณสมบัติจุดเด่นที่ต่างกันออกไป เช่น ความอึดของแบตเตอรี่ หรือความง่ายในการใช้งาน หรือไม่ก็มีจุดขายตรงการเชื่อมต่อกับกล้องและโทรทัศน์ได้อย่างง่ายดาย
ระบบปฏิบัติการที่ใช้งานบนแท็บเล็ตนั้นมีความสำคัญมาก iOS (iPhone OS) ของ Apple นั้นมีความเสถียรน่าเชื่อถือมาก แต่ถ้าคุณซื้อไอแพดแล้วล่ะก็การใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ก็จะถูกจำกัดไว้เฉพาะที่ทาง Apple อนุญาตไว้เท่านั้น ผิดกับระบบปฏบัติการ แอนดรอยด์ ที่ทำให้คุณสามารถเลือกใช้งานแอพลิเคชั่นต่างๆ ได้อย่างอิสระถึงแม้ว่าบางอย่างอาจทำงานได้ไม่ดีนัก แต่ก็มีข้อดีอย่างอื่นมาทดแทน เช่น Android 3.x สามารถทำงานบนแท็บเล็ตที่มีหน้าจอใหญ่ๆ ได้ดีกว่า iOS 4.x หรือ 5.x ทำให้การใช้งานอีเมลการท่องเว็บ หรือการดูรูปภาพทำได้ดีกว่า
แอนดรอย มีระบบที่ยืดหยุ่นต่อการใช้งานมากกว่า คุณสามารถเช็คอีเมล หรือดูสภาพอากาศได้จากหน้าจอโดยผ่านทาง widgets โดยไม่ต้องสั่งทำงานแอพพลิเคชั่นก่อน ซึ่งถ้าเป็นทาง iOS แล้วล่ะก็คุณทำไม่ได้แน่ หรือว่า แท็บเล็ตของ โซนี่ (Sony) ก็อนุญาตให้คุณตั้งค่าไอคอน เมนูของแอปพลิเคชั่นต่างๆ บนหน้าจอได้ตามใจคุณเองและแน่นอนทาง iOS ไม่อนุญาตให้คุณทำได้เนื่องจากไอคอนต่างๆ จะถูกกำหนดให้อยู่กับที่เท่านั้น
ข้อดีอีกอย่างของระบบ แอนดรอยด์ ก็คือมีการสนับสนุนทางด้านฮาร์ดแวร์มากกว่า แท็บเล็ตในปัจจุบันมีขนาดหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้ว, 8 นิ้ว, 8.9 นิ้ว,9.4 นิ้ว, 10.1 นิ้ว และบางยี่ห้อก็มีความละเอียดของหน้าจอมากกว่า iPAD 2 ซะอีก นอกจากนั้นยังอาจมี ส่วนเชื่อมต่อภายนอก (intregreat port) และ สามารถเพิ่ม การ์ดความจำ (memory card) เข้าไปได้อีก
ข้อเสียของระบบของ Google Android ก็มีเหมือนกัน นั้นก็คือ แอพพลิเคชั่น(Application) ที่สนับสนุนการทำงานโดยตรงยังมีไม่มากและยังค่อนข้างหายากอยู่ ซึ่งต่างจากทาง iOS ที่มีให้เลือกใช้มากกว่า 100,000 แอพพลิเคชั่น แต่ทาง Google เองก็พยายามจะลดข้อจำกัดนี้ด้วยการเปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ Android 4.0 Ice Cream Sandwich ซึ่งจะนำมาใช้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รุ่นใหม่ๆ และสนับสนุนให้นักออกแบบแอปพลิเคชั่น สร้างผลงานออกมาใช้กับ Android 4.0 มากขึ้น แต่ว่า แอพพลิเคชั่น เหล่านั้นก็ยังไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ระหว่างสมาร์ทโฟนกับแท็บเล็ต แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการลดข้อจำกัดเรื่อง แอพพลิเคชั่น ลง เรายังต้องรอ Android เวอร์ชั่นอื่นๆ อีกอย่างแน่นอน
แท็บเล็ตที่ดีที่สุด 10 อันดับ
ณ นาทีนี้ต้องยอมรับว่า iPAD ยังคงความเป็นผู้นำด้ายแท็บเล็ตอยู่เนื่องมาจากมี แอพพลิเคชั่น ให้เลือกใช้ได้อย่างมากมายนั่นเอง แต่แท็บเล็ตยี่ห้ออื่นๆ ก็พยายามหาจุดขายเพื่อตอบโจทย์ของลูก เช่น Samsung galaxy Tab 10.1 ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี หรือการเน้นไปที่การเล่นไฟล์มีเดียต่างๆ ความอึดของแบตเตอร์รี่ หรือแท็บเล็ตสำหรับคอเกมส์ เป็นต้น ติดตามอ่าน การจัดอันดับ แท็บเล็ตที่ดีที่สุด 10 อันดับ ได้ตามลิ้งค์นี้
ที่มา: http://www.freethaiarticle.com/%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%95%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94-tablets-pc.html
<p>นับว่าเป็นเวลาที่นานพอดูที่เราไม่ได้มีตัวเลือกมากมายนักในตลาดของแท็บเล็ดพีซี แอบเปิ้ลไอแพดจึงดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานั้น แต่ตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่า ไอแพด 2 (iPAD 2) จะยังเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ตัวเลือกยี่ห้ออื่นที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ (Android) ของ Google ได้ก็น่าสนใจไม่น้อย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไรจากแท็บเล็ต ยิ่งตอนนี้คู่แข่งของไอแพดที่ทำงานบน แอนดรอยด์ได้ดีก็มีมากขึ้นและมีคุณสมบัติจุดเด่นที่ต่างกันออกไป เช่น ความอึดของแบตเตอรี่ หรือความง่ายในการใช้งาน หรือไม่ก็มีจุดขายตรงการเชื่อมต่อกับกล้องและโทรทัศน์ได้อย่างง่ายดาย</p>
<p><a href="http://www.freethaiarticle.com/wp-content/uploads/2012/04/tablets.jpg"><img class="alignleft size-full wp-image-426" title="แท็บเล็ตที่ดีที่สุด" src="http://www.freethaiarticle.com/wp-content/uploads/2012/04/tablets.jpg" alt="แท็บเล็ตที่ดีที่สุด" width="287" height="176"></a></p>
<p>ระบบปฏิบัติการที่ใช้งานบนแท็บเล็ตนั้นมีความสำคัญมาก <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA_%28%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A5%29" target="_blank">iOS (iPhone OS)</a> ของ Apple นั้นมีความเสถียรน่าเชื่อถือมาก แต่ถ้าคุณซื้อไอแพดแล้วล่ะก็การใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ก็จะถูกจำกัดไว้เฉพาะที่ทาง Apple อนุญาตไว้เท่านั้น ผิดกับระบบปฏบัติการ แอนดรอยด์ ที่ทำให้คุณสามารถเลือกใช้งานแอพลิเคชั่นต่างๆ ได้อย่างอิสระถึงแม้ว่าบางอย่างอาจทำงานได้ไม่ดีนัก แต่ก็มีข้อดีอย่างอื่นมาทดแทน เช่น Android 3.x สามารถทำงานบนแท็บเล็ตที่มีหน้าจอใหญ่ๆ ได้ดีกว่า iOS 4.x หรือ 5.x ทำให้การใช้งานอีเมลการท่องเว็บ หรือการดูรูปภาพทำได้ดีกว่า</p>
<p><strong>แอนดรอย</strong> มีระบบที่ยืดหยุ่นต่อการใช้งานมากกว่า คุณสามารถเช็คอีเมล หรือดูสภาพอากาศได้จากหน้าจอโดยผ่านทาง widgets โดยไม่ต้องสั่งทำงานแอพพลิเคชั่นก่อน ซึ่งถ้าเป็นทาง iOS แล้วล่ะก็คุณทำไม่ได้แน่ หรือว่า แท็บเล็ตของ โซนี่ (Sony) ก็อนุญาตให้คุณตั้งค่าไอคอน เมนูของแอปพลิเคชั่นต่างๆ บนหน้าจอได้ตามใจคุณเองและแน่นอนทาง iOS ไม่อนุญาตให้คุณทำได้เนื่องจากไอคอนต่างๆ จะถูกกำหนดให้อยู่กับที่เท่านั้น</p>
<p><img class="alignleft size-full wp-image-427" title="google-android" src="http://www.freethaiarticle.com/wp-content/uploads/2012/04/google-android.jpg" alt="google-android" width="145" height="122">ข้อดีอีกอย่างของระบบ แอนดรอยด์ ก็คือมีการสนับสนุนทางด้านฮาร์ดแวร์มากกว่า แท็บเล็ตในปัจจุบันมีขนาดหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้ว, 8 นิ้ว, 8.9 นิ้ว,9.4 นิ้ว, 10.1 นิ้ว และบางยี่ห้อก็มีความละเอียดของหน้าจอมากกว่า iPAD 2 ซะอีก นอกจากนั้นยังอาจมี ส่วนเชื่อมต่อภายนอก (intregreat port) และ สามารถเพิ่ม การ์ดความจำ (memory card) เข้าไปได้อีก</p>
<p>ข้อเสียของระบบของ Google Android ก็มีเหมือนกัน นั้นก็คือ แอพพลิเคชั่น(Application) ที่สนับสนุนการทำงานโดยตรงยังมีไม่มากและยังค่อนข้างหายากอยู่ ซึ่งต่างจากทาง iOS ที่มีให้เลือกใช้มากกว่า 100,000 แอพพลิเคชั่น แต่ทาง Google เองก็พยายามจะลดข้อจำกัดนี้ด้วยการเปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ Android 4.0 Ice Cream Sandwich ซึ่งจะนำมาใช้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รุ่นใหม่ๆ และสนับสนุนให้นักออกแบบแอปพลิเคชั่น สร้างผลงานออกมาใช้กับ Android 4.0 มากขึ้น แต่ว่า แอพพลิเคชั่น เหล่านั้นก็ยังไม่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ระหว่างสมาร์ทโฟนกับแท็บเล็ต แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการลดข้อจำกัดเรื่อง แอพพลิเคชั่น ลง เรายังต้องรอ Android เวอร์ชั่นอื่นๆ อีกอย่างแน่นอน</p>
<h2>แท็บเล็ตที่ดีที่สุด 10 อันดับ</h2>
<p>ณ นาทีนี้ต้องยอมรับว่า iPAD ยังคงความเป็นผู้นำด้ายแท็บเล็ตอยู่เนื่องมาจากมี แอพพลิเคชั่น ให้เลือกใช้ได้อย่างมากมายนั่นเอง แต่แท็บเล็ตยี่ห้ออื่นๆ ก็พยายามหาจุดขายเพื่อตอบโจทย์ของลูก เช่น Samsung galaxy Tab 10.1 ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี หรือการเน้นไปที่การเล่นไฟล์มีเดียต่างๆ ความอึดของแบตเตอร์รี่ หรือแท็บเล็ตสำหรับคอเกมส์ เป็นต้น ติดตามอ่าน การจัดอันดับ <strong>แท็บเล็ตที่ดีที่สุด 10 อันดับ </strong>ได้ตามลิ้งค์นี้</p>
<p>ที่มา: <a href="http://www.freethaiarticle.com/%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%95%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94-tablets-pc.html">http://www.freethaiarticle.com/%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%95%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94-tablets-pc.html</a></p>
วิทยาศาสตร์น่ารู้
อ้าวเวลาที่เราจะตะโกนเรียกใครสักคนต้องเอามือป้องปาก ด้วยหรือ วิทยาศาสตร์น่ารู้ มีคำตอบให้ครับ เพราะการที่เราเอามือป้องปากเวลาตะโกนนั้นจะทำให้เสียงดังขึ้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของโมเลกุลในอากาศ เมื่อคลื่นเสียงเดินทางมาถึงหูของเราจึงทำให้เราได้ยินเสียง แต่ว่าคลื่นเสียงจะกระจายไปในทุกทิศทาง ทำให้พลังงานต่อหน่วยลดลง ผลก็คือความเข้มเสียงก็จะลดลงไปด้วย ถ้าเราต้องการจะเรียกใครสักคนที่อยู่ไกลๆ การเอามือป้องปาก จะช่วยป้องกันไม่ให้คลื่นเสียงกระจายออกไปในทุกทิศทาง แต่จะเป็นการบังคับให้มันกระจายออกไปในทิศทางเดียว ดังนั้นพลังงานทั้งหมดจะถูกส่งตรงไปที่จุดเดียว ความเข้มของเสียงก็จะไม่ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เสียงสามารถเดินทางไปได้ไกลกว่าและทำให้เสียงเรียกชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าคนเราได้ยินเสียงอยู่ 3 ประเภทใหญ่ๆ ชัดเจนที่สุดก็คือ ความดัง(Loudness) มีหน่วยวัดเป็นเดซิเบล (dB) อธิบายง่ายๆ ก็คือความดังคือขนาด ความดังจะขึ้นอยู่กับความไวของหูของแต่ละคน และขึ้นอยู่กับความเข้มของเสียงด้วย ต่อมา ระดับเสียง(Pitch) หรือความถี่เสียงมีหน่วยวัดเป็นเฮิรตซ์ ซึ่งหูของคนเราสามารถรับรู้ความถี่เสียงได้ในช่วง 20-20,000 Hz ความถี่เสียงก็คือ ความทุ้ม-แหลมของเสียงนั่นเอง เสียงทุ้มก็จะมีความถี่ต่ำ ระดับเสียงต่ำ ส่วนความถี่สูงก็กลับกัน ข้อสุดท้ายสำหรับหูเทพ(ฮา) คือ คุณภาพเสียง (Quality) เป็นลักษณะของคลื่นเสียงที่แตกต่างกันไปตามแหล่งกำเนิด เช่น กีต้าร์ กับ พิณ จะมีคุณภาพเสียงที่ต่างกัน แม้ว่าเราจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม สำหรับตัวผมเองเสียเงินเสียทองก็เพราะตัวสุดท้ายนี่แหละ หวังว่า วิทยาศาสตร์น่ารู้ คงมีประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ
Article Author: http://www.freethaiarticle.com/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a8%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2
Introduction & History Thammasat University
Introduction & History
สำหรับไทยนั้นถ้าคิดจะพัฒนาเรื่องสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ต้องเปลี่ยนความคิดเยอะ เรื่องนี้เกิดกับตัวผมเองที่โชว์โง่ออกไป ตอนผมเป็นเด็กวัด ผมเคยตามพี่คนไทยที่เป็นช่างซ่อมแซมและเป็นคนเฝ้าปราสาทให้เศรษฐีฝรั่งเศส ช่วงฤดูหนาวไม่มีใครเลย มีไวน์ดีดีหลายขวดให้ดื่ม ผมถามว่า “ขวดไหนดีที่สุด” เพื่อนผมอีกคนถามว่า “ขวดไหนแพงที่สุด” คนตอบเป็นเจ้าของปราสาท เป็นเจ้าของกิจการ เขาบอกผมว่า “ไม่มีขวดไหนดีกว่าขวดไหน แต่ละขวดแต่ละเขต มีกลิ่นและรสของท้องถิ่นนั้นๆ”
หลังจากนั้น ผมก็ได้รับคำตอบในลักษณะนี้อยู่เสมอจากคนยุโรป ซึ่งสรุปเอาเองว่าเขาคงภูมิใจในท้องถิ่นของแคว้นตัวเอง ผมขอเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเรื่องเครื่องดื่มภูมิปัญญาของชาวยุโรป(ขอยกตัวอย่างเพียงฝรั่งเศสนะครับ) เริ่มจากไวน์เขตต่างๆนั้น ไม่ใช่ว่า Bordeux จะเป็นไวน์ที่ดีที่สุด คนเป็นภูมิแพ้ไม่สามารถดื่มได้เพราะจะทำให้หายใจไม่ออก หรือ ง่วงนอนเพราะทำจากองุ่นสายพันธ์ุ cabernet sauvignon ซึ่งต้องนำไปผสมกับพันธ์ุ merlot ก็จะได้รสชาติที่เข็มข้นมีกลิ่นคล้ายเปลือกไม้ พวกนี้ปลูกในเขตที่มีความเย็นและชื้นฝน ในฝรั่งเศสเชื่อว่าพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่นำ้เหมาะสมที่สุด ไวน์ที่ปลูกบริเวณดังกล่าวจึงมีราคาแพง ส่วนพันธ์ุ pinot noir หรือ pinot blanc ที่ปลูกในแคว้น Bourgogne หรือ Burgundy ในภาษาอังกฤษจะมีรสชาติอ่อนลงมาและสีไวน์จะจืดจางกว่ามาก เขตที่มีราคาแพงในการปลูกคือพื้นที่หลังเขา เช่น Charblis ส่วนสายพันธ์ุองุ่นที่ปลูกในเมืองร้อน หรือ ที่มีแดดมากๆ คือ พันธ์ุ grenache (กำเนิดจากเสปน)และพันธุ์ syrah ที่มีต้นกำเนิดจากทางใต้ของฝรั่งเศส ส่วนพันธ์ุองุ่นขาวมักจะปลูกในที่หนาวฝน เช่น muscat(ออกรสหวาน), chardonnay, sémillon(ออกรสฝาด) ไวน์ขาวจึงกำเนิดในทางเหนือของฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่เพราะมีทั้งฝนทั้งหนาวชื้น แต่ถ้าหนาวกว่านั้นก็จะปลูกไวน์ไม่ขึ้น คนทางเหนือ เช่น เยอรมัน เช๊ค จึงปลูกข้าวเพื่อนำไปทำเบียร์เป็นเครื่องดื่มแทน
นอกจากพันธ์ุองุ่น เขตปลูกที่แตกต่าง การเก็บรวบรวมองุ่นก่อนนำไปหมักก็มีความสำคัญ ไวน์ที่มีราคาดูได้จากเปลือกฝาก่อนปิดจุกก๊อก ตัวอักษร R มาจากคำว่า Recoltant แปลง่ายๆว่า ปลูกเอง เก็บเอง ซึ่งมีความใส่ใจสูงกว่าการเก็บแบบตัวอักษร N มาจากคำว่า Negotiation ที่แปลว่าเจรจา หมายถึงไปกว้านซื้อองุ่นจากเกษตรกรตามไร่อื่นๆเพื่อนำมาผสมกันก่อนนำไปหมัก(ไวน์อุตสาหกรรมมักเป็นแบบนี้) นอกจากนั้น พาชนะบรรจุก็แตกต่างกันเพื่อให้มีรสชาติเหมาะสมกับองุ่น เช่น ไวน์ขาวขวดบางเบา ไวน์แดงขวดหนา พันธ์ุองุ่นเข้มข้นต้องใช้ขวดสูงยาวเพื่อเก็บตะกอนตอนเก็บรักษา(เช่น ขวดบ๊อกโดว์)
สำหรับไทย ผมว่าก่อนอื่นเราต้องพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งเสียก่อน จึงจะสร้างเศรษฐกิจชุมชนแบบพึ่งพาตนเองได้(หรือ เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง) ถามว่าทำอย่างไร ตอบว่า เรื่องปากท้องมาก่อนเสมอ ต้องให้เขามีรายได้ของกลุ่มชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีมากมายที่เราจะนำไปพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่แข็งแกร่ง แต่ต้องทำก่อนคือสร้างความภูมิใจในท้องถิ่นให้คนรู้สึกรักในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว ผมอาจจะสุดโต่งไปหน่อย แต่ความจริงระบบการต้มเหล้าของแต่ละชุมชนที่เคยมีมานั้นดีอยู่แล้ว(แทบไม่ต่างจากไวน์เขตต่างๆในฝรั่งเศสเลย) พอเราทำลายวิถีของเขา มองว่าเป็นสิ่งด้อยค่า(ปัจจุบันเอาศีลธรรมดราม่ามาแจมด้วย) สิ่งเหล่านี้จึงค่อยๆหายไป เหลือผู้ผูกขาดขายนำ้เมาเพียงไม่กี่เจ้าในประเทศที่รวยมหาศาล
เครื่องดื่มและอาหารของแต่ละท้องถิ่นมันก็สอดคล้องกับวิถีและขนบ เช่น ความอร่อยตามวิถีชาวยุโรปคือ ความสดของวัตถุดิบที่มาจากแหล่งต่างๆกัน(แล้วก็กินทั้งอย่างนั้นเลย) แต่ความอร่อยแบบไทยคือการปรุงรส เพราะเราเมืองร้อนไม่อาจรักษาความสดของอาหารได้ นี่เป็นเหตุผลของเรื่องที่เราต้องทานอาหารรสจัด ประกอบกับสามารถหาเครื่องเทศได้ไม่ยากนัก เนื่องจากอาหารรสจัด การดื่มไวน์จึงไม่เข้ากับวิถี แต่เหล้ากับเบียร์ถูกจริตกว่าเพราะประเภทอาหารนั่นเอง
Cd.Bhumindr Butr-indr
Lentitud y desproporción
Lentitud y desproporción
Al parecer el ciclista asegura que pasó dicho semáforo estando aún en ámbar y los guardias urbanos, que venían por la calle perpendicular y no podían ver como estaba el semáforo del ciclista, lo multaron.
Sin entrar a valorar si uno u otro tenía razón, pues eso no lo podemos saber con los datos aportados, si voy a comentar que a mi me ha pasado varias veces algo similar, sin llegar al extremo de la multa porque no había guardia urbano en ese momento. La última vez fue la semana pasada, sin ir más lejos. Lo explico:
Circulo en una bici híbrida por una calle bastante empinada, por lo que voy irremediablemente lento. El semáforo está aún en verde cuando estoy pasando la raya (si se pone ámbar antes me hubiera parado). A continuación hay un cruce, un cruce amplio y largo, pero todo cuesta arriba. Nada más pasar mi semáforo veo que el peatón verde de los que están en perpendicular conmigo se pone en rojo, lo que indica que se les va a poner en verde a los vehículos que se van a cruzar conmigo. Ocurre que estos semáforos están pensados para vehículos motorizados que van a toda pastilla, pero yo no puedo ir más deprisa con esa cuesta arriba. Conclusión: Los coches salen del semáforo y yo aún estoy en medio del cruce “molestando” por lo que recibo una serenata de pitidos que no sirven para nada, porque no puedo quitarme de en medio.
¿Es mi culpa? ¿Me he pasado yo algún semáforo en rojo? La respuesta en ambos casos es NO. La culpa es de una semaforización y una política de movilidad pensada sólo para ir a altas velocidades, donde se margina a los lentos, donde ser lento es sinónimo de inadecuado, cuando debería ser sinónimo de precavido, solidario, tranquilo y ausente-de-peligro.
Otro tema a repensar es la cuantía de las multas a los ciclistas. Me parece normal que se multe a un ciclista que incumpla una norma, pero en una cantidad proporcional a la capacidad del riesgo. Multar a un ciclista con 200 euros, una infracción pensada para los automóviles, es un despropósito. Para eso sí que las bicicletas son “vehículos” con todas las obligaciones. En cuanto a los derechos, sin embargo, ya no somos totalmente iguales. Pagar una multa que, en muchos casos, supone un precio mayor que lo que vale la propia bicicleta es desproporcionado. La DGT viene asegurando que en la modificación del Reglamento General de Circulación se considerara esta particularidad. Sería lo razonable.
Con la normativa actual de algunas ciudades en la mano, un coche aparcado sobre una acera, esos tan habituales en Madrid que no dejan pasar a nadie si no rodeas el coche, pagaría la misma multa que una bicicleta aparcada sobre la acera. Esto, sencillamente, no hay por donde cogerlo. Pero la normativa está ahí, es ciega e injusta. Hay quien dice que es injusta a propósito para causar mal al ciclista. Yo no creo que siquiera sea eso. Simplemente se ha ignorado, una vez más, que las bicicletas existen. Una vez más, somos invisibles, excepto cuando hay que multar, en ese momento se nos ilumina el aura y pasamos a ser vistos con todo detalle. Y si no que se lo digan a la familiaGreen-Garcia.
Uso de aparcabicis en Madrid
Aparcabicis de la calle Santa Clara |
A continuación unos análisis que no pretenden ser científicos ni estadísticamente perfectos, pero que son indicadores bastante coincidentes con otros estudios publicados, principalmente de bicicletas circulando.
Lo primero que se observa es que los meses de mayo y septiembre son los meses que más bicis había aparcadas, lo que coincide con los meses más benignos en cuanto a temperatura (ni frío, ni calor). Es decir, sigue existiendo miedo al frío y al calor al usar la bici, como si con estos fenómenos meteorológicos tan comunes fuera imposible circular en bicicleta.
También se ve otro dato en el sentido de que el único aparcabicis ubicado sobre tierra (Jardín Plaza Oriente) es, de largo, el menos utilizado, con sólo tres usos en todo un año. Con la peculiaridad de que sí que se veían bicis aparcadas a pocos metros sobre elementos fijos anclados al suelo sobre terreno duro (asfalto o baldosas). A nadie se le escapa que los aparcabicis ubicados sobre tierra son fácilmente vandalizables, por eso la gente prefiere aparcar cerca de estos en un lugar disperso, pero más seguro. Hoy en día, con la Ordenanza de Movilidad de Madrid en la mano, por fijar tu bici en uno de estos lugares, teniendo al lado un aparcamiento de bicis oficial, aunque sea fácilmente vandalizable, te puede suponer una multa.
Otro detalle es que el que más bicis soporta (más que los otro cuatro juntos) es el que propuso Pedalibre. Concretamente fui yo quien solicité (durante el proceso de estudios de ubicaciones) un aparcabicis en la calle Santa Clara, a instancias de una socia de Pedalibre y al ver yo mismo (trabajaba a 200 metros) varias bicicletas aparcadas de forma dispersa por los alrededores. Esto, en mi opinión, no hace sino enfatizar la importancia de la opinión de los usuarios y que fue una buena práctica por parte de los técnicos encargados de la gestión al preguntarnos por dichas ubicaciones, porque la práctica mayoría de ellos están ahora ocupados, siendo de utilidad.
La visibilidad del aparcabicis no parece ser un detalle importante para los usuarios, pues dos de ellos eran poco visibles (están bastante escondidos, en lugar de poco paso) y aunque uno de ellos no era apenas usado (Dúque de Nájera), sin embargo el otro era el ya comentado de Santa Clara, el más utilizado. Por lo tanto me atrevería a decir que uno de los factores más importantes a la hora de ubicar un aparcabicis no es la visibilidad, sino el del previo aparcamiento disperso, que luego multiplica, cuando el aparcabicis se coloca, el número de bicicletas finales atadas a él. Curiosamente, otros lugares que parecían muy proclives, como algunos intercambiadores de transporte, no han tenido éxito alguno, como es el caso del instalado en la salida de Peña Prieta del Metro de Puente de Vallecas, también propuesto por Pedalibre. El mero hecho de poder intercambiar los medios de transporte no faculta a que el aparcabicis sea utilizado.
Agosto es una época de pocos coches en la ciudad, pero se ve que también de pocas bicicletas, porque es el mes que menor índice de bicicletas soporta, menos incluso que los meses de invierno, fríos y lluviosos. Además de porque mucha gente se va de vacaciones, también incidiría, por añadidura, en el hecho del calor. Como se ha dicho antes, los excesos de frío o de calor disuaden de usar la bicicleta, por lo que se ve, tanto en esta mini-estadística, como en otras que se han ido publicando por ahí de usos urbanos ciclistas.
Visto que prejuicios o mitos como el frío, la lluvia o el calor, que a lo que se ve disuaden de gran manera del uso de la bicicleta en la ciudad, evitan que haya más bicicletas en las ciudades, nunca está de más echar un vistazo a la ponencia que presenté hace algunos años en el Congreso Catalán de la Bicicleta, llamado “La bici es posible. Desmoronando los prejuicios contra la bicicleta”, pues puede ser útil para contraargumentar todos esos prejuicios.
La ubicación de algunos aparcabicis es un punto y aparte. Hoy en día se ha detectado que algunos de los aparcabicis ubicados en Madrid deberían cambiar de sitio, pero las distintas peticiones en este sentido han resultado infructuosas. No hay dinero para arreglar lo que fue una primera experiencia y ahora podría ser ubicado en el lugar que ya se ha detectado como correcto.
Y si hablamos de la iniciativa privada es aún peor. Como me comentaba hace poco Gonzalo Fernández de Córdoba: "Un famoso centro comercial ubicado en Sanchinarro no tiene aparcabicis. Venden bicicletas, pero no tienen aparcabicis. Curiosamente tienen parking para coches, pero no los venden. La superficie para coches es comparable a la superficie de negocio, sin embargo no hay un pequeño espacio reservado para bicicletas, ni siquiera para las que vendieron."¿Perspectiva corta? ¿Falta de cultura?
Pasión, reflexión, entusiasmo y energía: PBP 2011
Tiempos de silencio
A finales de los 70 se estrenó una película dirigida y protagonizada por Warren Beatty, con el sugerente título de El cielo puede esperar.
La bicicleta, como el cielo, por lo que se ve, también puede esperar. O esa es la sensación cuando uno recorre algunos despachos de las administraciones públicas estatales. Hoy la razón es porque no hay dinero, ayer porque no era una prioridad, o no era el momento social o no era la oportunidad o cualquier otra excusa peregrina que encierra un alto grado de prejuicios contra este medio de transporte.
Esa es la sensación que saqué el pasado día 21 de marzo de 2012 tras una reunión en el Ministerio de Agricultura, Alimentación y Medio Ambiente a la que asistí, como representante de ConBici, junto a Marisol Otero, de la Plataforma Empresarial de la Bicicleta, y Belén Moneo e Iñigo Cobeta, de Madrid en Bici, arquitectos.
Dado que no nos recibía ni el ministro, ni el Secretario de Estado, nos iba a recibir en principio la Directora General de Calidad y Evaluación Ambiental y Medio Natural, Guillermina Yanguas. Sin embargo, al llegar se nos anuncia que ella se ha tenido que ir a una reunión, por lo que nos recibía la Subdirectora, Maj-Britt Larka. Vamos bajando de escala. Tengo, de nuevo, la eterna sensación de que la bicicleta no es importante en las agendas políticas. Si surge otra reunión, otra actividad, de la bicicleta y los ciclistas se puede prescindir.
Exponemos la situación de la bicicleta, cómo ha crecido su uso como medio de transporte en los últimos años, cómo el número de interlocutores sigue aumentando (usuarios, empresarios, red de ciudades, bicijuristas…) y, sin embargo, los impulsos institucionales a favor de su uso no se ven acompañados por este crecimiento. Hablamos de cómo estamos perdiendo la oportunidad de acoger el enorme potencial de turismo extranjero ciclista de viajes, que se va a otros países huyendo de las pobres condiciones españolas, y las razones por las que eso ocurre.
Les hablamos de tantas cosas. De la falta de impulso del proyecto EuroVelo, de la nefasta legislación de tráfico, de la mala accesibilidad de la bici al transporte público. No sacamos ningún compromiso. Les preguntamos sobre la Ley de Movilidad Sostenible. Nos explican que llegó a un punto muerto en el que ahora mismo no hay prevista una salida. Decidimos actuar pidiendo su activación en las más altas esferas. Escribiremos a esos que no nos han querido recibir. Es nuestra única opción, por lo que se ve.
Les comentamos sobre el Código Técnico de la Edificación, sobre la idoneidad de incluir un espacio para bicicletas en toda nueva obra residencial y terciaria. Cuando estuvimos en el Ministerio de Vivienda hace unos meses tratando este tema nos dijeron que teníamos que hablarlo con el Ministerio de Fomento. Cuando estuvimos en este Ministerio de Fomento nos dijeron que lo habláramos con el de Medio Ambiente. En este último nos dicen que ellos no tienen competencia alguna y que, aunque les parece muy buena idea, no pueden hacer nada. Creíamos estar cerrando el círculo, pero este extraño círculo no tiene cierre. La línea de este círculo nos ha llevado al borde de un precipicio al que no nos queremos asomar, porque a algunos nos da ya vértigo tantas negativas, tantos prejuicios, tanto buen rollo acompañado de ninguna acción.
Viendo que nos vamos con las manos vacías, les presentamos un proyecto para que, cuando menos, lo lideren. Se trata de ir cogiendo toda la información dispersa sobre la bicicleta, unificando dicha información, para mejorar su accesibilidad. Esa información a unificar sería básicamente normativa, estadísticas, usos de la bici, vías ciclistas, planificación, coordinación... Mucha de esa información ya existe, ya está accesible (aunque repito que dispersa), sólo habría que solicitarla a quien lo lleva y luego ponerla en valor mostrando una información que sería de utilidad. En principio se nos vuelve a decir que no hay dinero ni personal. In extremis conseguimos que al menos “estudien” el tema. Esperaremos, una vez más.
Son malos tiempos, son tiempos de silencio, porque lo que se nos contesta es parecido a un silencio, a una falta absoluta de implicación. Los buenos propósitos son cápsulas de aire que al abrirlas esperanzados se nos escurren entre los dedos, perdiéndose en el ambiente, este ambiente degradado que las bicicletas podrían ayudar a mejorar si se nos diera el apoyo necesario para que fuera así.
Decía Iñigo Cobeta al salir de la reunión, medio en broma, medio en serio, que lo único que nos queda es la acción directa. Pudiera ser. Desde luego se me quitan las ganas de volver a perder mi tiempo recorriendo pasillos de ministerios en los que las bicicletas son artefactos extraños como en aquel relato de Julio Cortázar.
Cansados de esperar, sólo nos queda pedalear, porque pedaleando llegamos cada día al cielo, a ese cielo que puede esperar, pero las que no pueden esperar más son nuestras bicicletas.
Un nuevo ciclista urbano
Lleva poco tiempo y seguramente algunos no estaréis de acuerdo con la manera que tiene aún de conducirse por la ciudad, como yo mismo no lo estoy en algunos aspectos, pero Luis nos dice con sinceridad como actúa y, al fin y al cabo, no es sino el reflejo de muchos otros nuevos ciclistas que acceden a circular en bici sólo bajo estas condiciones, haciendo lo que creen que es más seguro para ellos en una ciudad que no sienten que esté preparada para los ciclistas.
Quizás alguna de las cosas que hace ahora, como circular en contrasentido en determinadas calles, pasen pronto a estar permitidas por la normativa, pues así quedaba recogido en el proyecto de modificación del Reglamento General de Circulación. Seguramente con el tiempo y al ganar en confianza cambiará algunas de sus actitudes, yo espero que algunas de ellas sí, pero ahora me parece muy interesante simplemente ver las sinceras percepciones de alguien que comienza a utilizar la bicicleta por la ciudad.
Mi nueva experiencia ciclista
Con apenas 5 meses de uso cotidiano de la bicicleta no aspiro a considerarme un ciclista urbano, ni creo que vaya a aportar nada al ingente conocimiento que existe sobre la movilidad ciclista, pero como ejercicio propio me permito esta reflexión.
Comencé a usar la bicicleta de manera titubeante como posible solución a una circunstancia difícil, llevar al niño al colegio y llegar a tiempo al trabajo. Se trataba de recorrer una distancia aproximada de 3,5 Km, de casa al trabajo, con escala en el colegio.
Es un recorrido muy favorable en su trayecto de ida, ya que prácticamente todo es cuesta abajo, Lógicamente el trayecto de vuelta es más costoso pero lo hago generalmente sin el apremio del tiempo.
Varios tramos del recorrido los realizo por calzada en sentido contrario de circulación. Sé que no debería, pero son vías de único sentido y evitarlas me supondría un rodeo importante. En otras ocasiones, con esmerado cuidado, también circulo por aceras, por las razones comentadas y por evitar puntos conflictivos de tráfico.
También me salto, con precaución, algunos semáforos en rojo, la parada y el arranque en bici me suponen un esfuerzo suplementario y un cambio de ritmo especialmente incómodo y fatigoso.
Para concluir con la relación de alteraciones a la circulación convencional, en los semáforos trato de adelantarme a los coches, para situarme por delante del paso de cebra (cuando no pasan peatones), de esa manera gano algo de tiempo cuando se pone en verde y me oriento mejor en la dirección que tomo, a la vez que evito confusión en la circulación de los coches al salir y el riesgo de un giro inesperado de alguno de ellos.
Mi objetivo es circular en condiciones de seguridad, economía de esfuerzo, evitando alteraciones en la circulación de los vehículos y toda interferencia con peatones.
Esta circulación discreta entre el tráfico no siempre es posible, las limitaciones propias de la bici suponen situaciones complicadas.
Vaya por delante que realmente no he sentido en general una actitud agresiva u hostil de los automovilistas hacia la bici, más bien todo lo contrario, bastante respeto y cuidado. Esta claro que hay excepciones pero en muchos casos se deben a descuidos o impericia de conductores que ante una situación poco habitual no reaccionan adecuadamente. Las actitudes agresivas de circulación de algunos conductores parecen una actitud habitual de éstos ante cualquier vehículo, pero no un acto premeditado contra el ciclista.
De entre todas las situaciones complicadas del recorrido, la más incómoda y delicada, con diferencia, se produce, curiosamente, cuando recorro una calle tranquila, con poco tráfico y de baja velocidad. Durante varías manzanas circulo por una vía de ligera pendiente ascendente, pero lo suficiente para no aproximarme a la velocidad de los coches. Esto no sería un problema si pudiera ponerme a la derecha y dejar que éstos me adelantasen, pero no es posible ya que la vía es muy estrecha con coches aparcados a ambos lados y aceras también estrechas. Entonces la mayoría de vehículos no se atreven a adelantarme, aunque en algún caso podrían hacerlo, y recorren del orden de 300 metros a mi ritmo. Como conductor comprendo que recorrer esa distancia, a esa velocidad, se hace eterna, y si vas con prisa, estresante. Siento esa presión y la situación se hace tensa con un vehículo, o varios, pegados a pocos centímetros de mi rueda.
Existen otras circunstancias difíciles, incluso más peligrosas, pero están asumidas, las considero parte de las condiciones de este modo de circulación. La apertura de puertas de coches aparcados, las incorporaciones y los giros inesperados suelen producirse por precipitación del conductor y la falta de visibilidad del ciclista, suponen un riesgo evidente pero en general una conducción atenta y preventiva suele evitarlos.
Respecto a otros momentos en los que he usado la bicicleta, me ha sorprendido cierta animosidad de los peatones (tampoco demasiada). Me han reprendido al adelantarme en un semáforo en rojo, cuando sin embargo no suponía ningún riesgo para peatón alguno. Incluso, alguna vez, en un paso de cebra, se ha producido una situación incómoda (frenazo en seco) ocasionada por la imprudencia o el despiste del propio peatón, éste ha tenido una actitud recriminatoria hacia el ciclista, cuando sin embargo situaciones parecidas son habituales en vehículos motorizados sin que exista reparo en ese caso, incluso entrañando mucho más riesgo.
Desde septiembre de 2011 utilizo la bici todos los días, y solo he tenido que dejar de hacerlo aquellos en los que está lloviendo en el momento de salir de casa (que son muy pocos días), es realmente el único inconveniente que me ha impedido hacer uso de la bici, pero incluso en esos días al llegar al trabajo observo que hay algunas de las bicis habituales que suelo encontrar aparcadas, es decir, los hay más valerosos que yo.
Aunque en un principio no le di importancia, el tema de los humos de tubos de escape cada vez me preocupa más. Resulta realmente desagradable y evidentemente insano. Los días con acumulación de contaminantes en el aire de la ciudad el efecto resulta mucho más acentuado.
Volviendo al objeto que hizo plantearme utilizar la bici para ir al trabajo, tengo que decir que el resultado es inapelablemente positivo, frente a los más de 35 minutos que empleo caminando y usando el Metro para este desplazamiento, en bici tan solo es de 15 a 20 minutos. En un recorrido tan corto creo que es bastante tiempo de ahorro, y me permite llegar a mi hora.
Al margen de lo contado no he encontrado grandes inconvenientes, no llego cansado al trabajo, si acaso más despierto y activo, no me supone una consideración especial en la indumentaria diaria, quizá en otros casos pudiera serlo, y tan solo tengo el pequeño trastorno de bajar y subir la bicicleta a la casa.
Por otra parte desplazarme en bicicleta me supone en muchos momentos un verdadero placer que concluye en una cierta adicción a su uso. Me resulta especialmente agradable coger la bicicleta al salir del trabajo, convierte en un paseo lo que de otra forma es una acción rutinaria y tediosa para volver a casa.
Algunos días no todo ha sido tan agradable, y subir una cuesta siempre cansa, pero me he dado cuenta que esto tiene mucho que ver con acomodar actitud y ritmos a la bicicleta, ir con prisas o querer ir más rápido de lo que es posible es nefasto, ya que a la propia ansiedad de esta situación se suma el cansancio del esfuerzo físico que aparece con un efecto multiplicado. Me he dado cuenta que si repitiera muchas veces situaciones así podrían llevarme a abandonar el uso de la bici.
Por cierto, a Darío le encanta que le lleve en bici al cole.
La prisa que no existe
Lo que se justifica aún menos es la de los automovilistas particulares. Digo yo que si llevan prisa es que han salido tarde ¿verdad? Es una inconsciencia salir tarde y por ello tener que ir jugándose la vida propia y las ajenas. Si la tardanza la ocasionan las circunstancias del tráfico, no necesito decir que ya sabes a lo que te expones cuando vas en vehículo motorizado por la ciudad: atascos, semáforos, controles... Tienes que salir con mucho tiempo de anticipación y aún así te puedes encontrar algo que te frene. ¿Si no tiene remedio por qué estresarse?
Sin embargo me atrevo a decir que muchas de las prisas que nos autoimponemos al circular por la ciudad son ficticias. No tenemos prisa pero actuamos como si las tuviéramos. Puedes ir con tiempo más que suficiente, pero te ves obligado a ir rápido, porque el coche es más potente que el delantero, o todo el mundo va así de rápido y tu no vas a ser menos, no vas a molestar, en un servilismo demente hacia la locura de la velocidad y las prisas.
Quiero ejemplificar con un caso real que me ocurrió hace algún tiempo yendo en bicicleta por la ciudad de Guadalajara.
Tengo que aclarar antes de nada que de un tiempo a esta parte evito todo tipo de conflictos en el tráfico. No hago caso, saludo o sonrío ante las provocaciones de los motorizados, ayudando de este modo a que mis desplazamientos sean más placenteros, no permitiendo que los "malos humos" de terceros envenenen mi devenir ciclista por la ciudad. Algunos tienen un problema y pretendo que no se convierta en un problema mío también. No lo consigo aún al cien por cien, pero casi. Como todo, es cuestión de práctica.
El suceso fue el siguiente:
Iba cuesta abajo, a unos 30 kilómetros por hora. Un coche iba detrás mía y no podía pasar porque había un solo carril por sentido y yo iba por el centro del carril. Si me hubiera echado a la derecha el automóvil hubiera podido pasar pero sin respetar la distancia lateral de seguridad y poniéndome en peligro.
El automovilista me pita. Yo ni caso. Me vuelve a pitar, esta vez más seguido. Yo a lo mío. Se me acerca más, intentando no sé el qué, que desaparezca de pronto, imagino. ¿Qué puedo hacer yendo a esa velocidad sino seguir lo más recto posible?
Cuando por fin la calle se ensancha, me echo hacia un lado, dejándole pasar. Pega un acelerón, poniéndose a mi lado un momento. Le miro y el hombre dice algo a través del cristal, pero no se le entiende. Está desquiciado, haciendo todo tipo de aspavientos y con la cara desencajada. Me da una tremenda lástima ver a alguien así, llegar a ese estado de ira y de estrés sin necesidad.
En el siguiente semáforo en rojo me paro a su lado y le digo con tranquilidad: “Ante todo le pido disculpas por no haberle podido dejar pasar, pero…” aquí me interrumpe y me GRITA “...es que me tenías que dejar pasar, es que te crees que la calle es tuya...” y unas cuantas cosas más. Le explico pacientemente lo de la distancia lateral de seguridad y la imposibilidad de respetarla para él si yo me echo hacia un lado. Pero no me está escuchando, no le interesan mis razonamientos, no quiere dialogar. No pretendo ya convencerle de mis derechos y sólo le digo: “De todos modos, como puede ver, no sirve de nada correr, al final nos encontramos en el semáforo. Además, ¿de verdad tenía usted tanta prisa?” Ante esto se quedó unos segundos perplejo, sin decir nada y luego solamente balbuceó, no fue capaz de decir algo comprensible. El semáforo se puso verde. Le di los buenos días y me fui.
Ese señor, sencillamente, no tenía prisa alguna. Se había autoimpuesto que en coche hay que ir rápido y que la ciudad es suya, porque es lo que le han vendido junto con el coche.
Cuando se baje del coche irá también rápido, aunque seguramente no tendrá una hora determinada a la que llegar. La mayor parte de nuestros actos están guiados por la angustia de una prisa que no existe y, concretamente cuando se va en coche, poniendo en serio riesgo a otras personas dada la peligrosa arma que se lleva en las manos.
Definitivamente es cierta aquella frase de "La prisa mata".